‘กระเจี๊ยบเขียว’ มีลักษณะเป็นฝักสีเขียว รูปทรงเรียวยาว คล้ายกับนิ้วมือ ส่วนปลายโค้งเล็กน้อย ฝักมีสันเป็นเหลี่ยมตามยาว 5 เหลี่ยม มีขนอ่อน ๆ อยู่ทั่วฝัก กระเจี๊ยบเขียวเป็นผักพื้นบ้านที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระมากมายที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย
สรรพคุณทางยาของกระเจี๊ยบเขียว
– มีสารกลูตาไธโอน เป็นสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระ
– ช่วยเรื่องระบบการย่อยอาหาร
– ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
– ช่วยให้ลำไส้ใหญ่ดูดซึมน้ำตาลได้อย่างคงที่
– รักษาโรคความดันโลหิต และควบคุมความดันให้เป็นปกติ
– รักษาหลอดเลือดตีบตัน
– ช่วยแก้อาการหวัด รักษาโรคหวัด
– รักษาโรคกรดไหลย้อน
– มีโฟเลตสูง หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของทารกในครรภ์และช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงได้
– มีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย
ข้อควรระวังในการรับประทานกระเจี๊ยบเขียว
– คนที่มีปัญหาเกี่ยวลำไส้หรือระบบทางเดินอาหารควรรับประทานแต่พอดี เพราะกระเจี๊ยบเขียวมีคาร์โบไฮเดรตชนิดที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร
– กระเจี๊ยบเขียวมีออกซาเลตสูง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดนิ่วในไตได้
– คนที่กำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดไม่ควรรับประทานกระเจี๊ยบเขียวมากเกินไป
– ผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการใช้กระเจี๊ยบเขียวช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพราะอาจทำปฏิกิริยากับยา รักษาโรคเบาหวานที่ใช้อยู่ได้
วิธีการปลูก กระเจี๊ยบเขียว
พันธุ์กระเจี๊ยบเขียว
กระเจี๊ยบเขียว มีพันธุ์ต่าง ๆ มากมายซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งความสูงของต้น ความยาวของฝักและสีฝัก พันธุ์พื้นเมืองเดิมจะมีเหลี่ยมบนฝักมากประมาณ 7-10 เหลี่ยม พันธุ์กระเจี๊ยบเขียวที่ใช้ปลูกเพื่อการส่งออกฝักสด และแช่แข็ง จะต้องเป็นพันธุ์ที่มีฝัก 5 เหลี่ยม สีฝักเขียวเข้ม มีเส้นใยน้อย ลำต้นเตี้ย ผิวฝักมีขนละเอียด ฝักดกให้ผลผลิตสูง ผู้สนใจหาซื้อได้ตามร้านจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ หรือหาข้อมูลสั่งซื้อได้ง่ายๆทางอินเตอร์เน็ต
วิธีการปลูก กระเจี๊ยบเขียว
การเตรียมดิน ขุดไถดินด้วยผาล 3 ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 15-20 วันเพื่อกำจัดโรค พืช และศัตรูพืช จากนั้นหว่านปุ๋ยคอกเสริมคอกเสริมธาตุอาหารในดินประมาณ 0.5-1 ต้นต่อไร่ อาจเลือกติดตั้งระบบน้ำแบบสปริงเกลอร์ หรือ เลือกปล่อยน้ำเข้าร่องแปลงก็ได้ จัดระยะห่างระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ระหว่างแถว 1 เมตร (พร้อมร่องน้ำประมาณ 50 เซนติเมตร)
วิธีปลูก กระเจี๊ยบเขียวสามารถทำการขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด โดยนำเมล็ดพันธุ์แช่น้ำหมักชีวภาพนาน 15 – 20 นาที เพื่อกำจัดโรคที่อาจติดตามมากับเมล็ดพันธุ์ จากนั้นนำมาผึ่งให้แห้ง ในที่ร่ม ก่อนนำไปปลูกลงแปลงใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 1 กิโลกรัม/ไร่ สามารถนำเมล็ดพันธุ์มาทำการเพาะปลูกได้ โดยเลือกเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ ตรงตามสายพันธุ์ที่ต้องการ จากนั้นนำลงแปลงปลูกได้เลย โดยใช้นิ้วจิ้มดินเป็นหลุมเล็กก่อนหยอดเมล็ดพันธุ์ประมาณ 3 เมล็ดต่อหลุม จากนั้นประมาณ 45 วัน จึงพร้อมเริ่มเก็บเกี่ยวได้
วิธีดูแลรักษากระเจี๊ยบเขียว
การให้น้ำ ในกรณีติดตั้งระบบน้ำแบบสปริงเกอร์ ควรรดน้ำทุก 2 วัน ครั้ง นานครั้งละ 10-15 นาทีหากต้องการปล่อยน้ำตามร่อง ควรให้อาทิตย์ละครั้ง เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวเป็นพืช ที่ทนสภาพความแห้งแล้งได้ดี
การใส่ปุ๋ย บำรุงด้วยปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักชีวภาพ ก่อนเข้าสู่ช่วงการเก็บเกี่ยว ใส่ ประมาณ 10-20 กิโลกรัม / ไร่ บำรุงเสริม และควรเสริมความต้านทานโรค ในช่วงระยะเก็บเกี่ยวฝักด้วยน้ำหมักชีวภาพ ฉีดพ่นทางใบทุก 7-10 วันครั้ง หรือใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 การใช้ปุ๋ยไนโตรเจน อาจใช้ในช่วงแรกก่อนติดฝักและหลังจากตัดต้นเพื่อเร่งการแตกกิ่งแขนง อัตราใส่ปุ๋ยโดยปกติ 20 วันต่อครั้ง ปริมาณปุ๋ย 10-25 กก./ไร่/ครั้งตามความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งใช้ปุ๋ยประมาณ 75-100 กก.ต่อไร่ต่อฤดูปลูก ทั้งนี้ขึ้นกับความยาวนานของการเก็บเกี่ยวผลผลิตด้วย
การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช โดยมากกระเจี๊ยบเขียวจะมีศัตรูพืชจำพวก แมลงหวี่ขาวเพลี้ยไฟ และเพลี้ยจักจั่น ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการใช้น้ำส้มควันไม้ ฉีดพ่น ทุก7 วันครั้งหรือในช่วงระบาด
กระเจี๊ยบเขียว วิธีการเก็บเกี่ยว
เมื่อกระเจี๊ยบเขียวอายุต้นครบ 45 วันจะเริ่มทำการเก็บเกี่ยวกระเจี๊ยบเขียวได้ เก็บได้วันละ 1 ฝักตลอด90วันหรือนานกว่านั้นเล็กน้อย เฉลี่ยการเก็บเกี่ยวประมาณ 90 ฝักต่อต้นต่อรุ่น การเก็บควรใช้มีดคมตัดให้ขาดครั้งเดียว และไม่ควรเก็บใส่รวมกันครั้งละมากๆเพื่อป้องกันฝักช้ำ
ขอขอบคุณ : farmchannelthailand.com